กรณีของผู้ที่เป็นไมเกรน นั้น หรือ ปวดหัวข้างเดียว แพทย์แผนตะวันตก ส่วนใหญ่นั้นจะระบุว่าเกิดจากสิ่งเร้าต่าง ๆ ทั้งภายนอกและภายในจำนวนมาก ซึ่งเป็น สาเหตุ เช่น อาหารบางชนิด ความร้อน ความเย็น ช็อคโกแล็ต, ผงชูรส, เสียง แสง กลิ่น ฯลฯ แต่ไม่ว่าจะปวดหัวข้างเดียว หรือปวดแบบไหนก็ตาม ในการรักษาแนวธรรมชาติบำบัดนั้น สรุปได้ว่า
เกิดจากสาเหตุหลายประการ
1. สมองถูกหล่อเลี้ยงด้วยของเสีย ที่ร่างกายบริโภคเข้าไป
ซึ่งการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกสัดส่วน กินอาหารที่เป็นโทษต่อร่างกาย เช่นอาหารย่อยยาก ไม่กินผัก หรือ กินน้อย อาหารแต่งสี แต่งกลิ่น แต่งรส ด้วยสารเคมี
อาหารเหล่านี้เมื่อทานเข้าไป เมื่อเข้าไปบูดเน่าในร่างกาย และถูกดูดซึมไป หล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ โดยเฉพาะเซลล์ประสาทซึ่งมีอยู่เป็นจำนวน 60 ล้าน ๆ เซลล์ซึ่งการหล่อเลี้ยงนี้เมื่อมีปริมาณมากขึ้นจนถึงปริมาณที่ร่างกายไม่สามารถ ทนได้ ก็จะแสดง "อาการปวด" ขึ้น
เพราะ "อาการปวด" นั้นเป็นสัญญาณขอ "ความช่วยเหลือ" ของร่างกายผ่าน การทำงานของเซลล์ประสาท
ซึ่งในทางตรงกันข้ามถ้าหาก " สมอง" ถูกหล่อเลี้ยงด้วยสารอาหารที่ดีมี ประโยชน์ เซลล์ประสาท ในสมองและเซลล์ทั่วร่างกายก็จะมีความ แข็งแรงไม่ว่าจะมีสิ่งเร้า มากระตุ้นเท่าไรก็จะทนได้ที่ระดับหนึ่ง
ซึ่งถ้าพิจารณาให้ดีจะพบว่า 6 ปัจจัย หลักได้แก่ อาหาร อากาศ อารมณ์ อุจจาระ การนอนและการออกกำลัง
ปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นล้วนมีผลต่อการทำให้เกิดของเสียไปหล่อเลี้ยง เซลล์ได้ทั้งสิ้น
การรักษาด้วยสารอาหารอย่างเดียวคงไม่ได้ผลนัก จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องกำจัดต้นเหตุของโรคให้หมดทุกปัจจัย
2. สมองมีสารอาหารที่ดีไปเลี้ยงไม่ทันกับที่ใช้ไป กลุ่มผู้ที่มีสาเหตุของอาการป่วยกลุ่มนี้นั้น เรียกได้เป็นพวกที่ใช้สมอง ฟุ่มเฟือยคิดมาก แม้ปัญหาบางอย่างจะเป็นเพียงแค่ปัญหาเล็ก ๆ แต่สำหรับ คนกลุ่มนี้กระจายความคิดไปทุกทิศทาง หรือเรียกว่าคิดมาก และมักเป็น ความคิด ในเชิงลบ ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ค่อยยอมรับ เรียกได้ว่าเป็นการคิดมาก โดยไม่รู้ตัว เพราะขณะที่กำลังใช้ความคิดเซลล์ประสาทในสมองจะถูกใช้งาน อย่าง ต่อเนื่องและไม่ได้พักและถ้าขบวนการเผาผลาญอาหารที่จะมาส่ง? ให้เซลล์ประสาท เกิดไม่ทัน เซลล์ประสาทก็จะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ คือ อาการปวด และหากพบว่าสมองถูกหล่อเลี้ยงด้วยของเสีย ข้อ ร่วมด้วย ก็ยิ่งทำให้นำ ไปสู่การ ปวดที่ทรมานยิ่งขึ้นวิธีแก้นั่นก็คือ การหยุดคิด หยุดเครียด ให้สมอง ได้พักผ่อนบ้าง
เมื่อปฏิบัติทุกข้อตามที่ได้แนะนำแล้วนั้น อาการไมเกรนดังกล่าวจะดีขึ้น หรือหายไปเลย และถ้าต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาก็ใช้วิธีการฝังเข็ม ร่วมด้วย
แต่ที่ผู้ป่วยบางท่านเมื่อไปรักษาด้วยการฝังเข็มแล้วไม่ได้ผลนั้น สาเหตุเป็นเพราะขณะที่ไปฝังเข็มนั้นร่างกายยังถูกหล่อเลี้ยงด้วยของเสียอยู่ เมื่อฝังเข็มร่างกายจะดูดซึมอาหารได้มากขึ้น แต่อาหารที่มีอยู่ในร่างกายเป็น อาหารขยะ
ดังนั้นการเอาขยะไปหล่อเลี้ยงเซลล์สมองจึงรักษาไม่ได้ผล
แต่ในทางที่ถูกต้องแล้วสามารถนำการฝังเข็มมาใช้ประโยชน์ในการรักษาได้แต่ต้อง ให้ร่างกายขับของเสียออกให้หมดก่อนแล้วให้สารอาหารที่ดีเข้าไปแทนแล้ว ค่อยฝังเข็ม "กลไกการฝังเข็มจะทำให้ต่อมใต้สมองหลั่งฮอร์โมนเอนดอร์ฟิน"
มาระงับ "อาการปวด"
ซึ่งจะทำให้การดูดซึมอาหารเป็นไปได้มากขึ้นเพราะในเมื่อ ร่างกายมีสารอาหารที่ดีด้วยแล้ว การรักษาด้วยการฝังเข็มและโภชนบำบัดไป ด้วยจะได้ผลดีกว่าการฝังเข็มอย่างเดียวแน่นอน
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยไมเกรน
- ดื่มน้ำผักปั่นวันละ 15 - 20 แก้ว
- ควบคุมอาหารอย่างเคร่งตามสูตรชมรมบ้านสุขภาพ และงดการบริโภค อาหารขยะ
- ดื่มนมธัญพืชวันละ 2 - 3 แก้ว
- ทานซุปผักแทนอาหารมื้อปกติ หรืออย่างน้อย อาทิตย์ละ 2-3 วัน
- อาหารอื่นทานได้แต่ควรเป็นอาหารที่ปลอดสารพิษ
ทำสมาธิให้ได้ตลอดเวลา หลังจากทำสมาธิจนจิตนิ่งดีแล้ว ร่างกายจะหลั่ง ฮอร์โมนเอนโดฟิน ซึ่งเป็นยาแก้ปวดที่ดีที่สุด
ที่ร่างกายสามารถผลิตได้เองการทำสมาธิไม่ได้หมายถึง
"
นั่งนิ่งหลับตาเท่านั้น แต่หมายถึงว่าในทุกขณะจิตไม่ว่าจะ ทาน เดิน นั่ง นอน หรือทำอะไรก็ตามให้เฝ้าระวังจิตเมื่อรู้ทันจิตก็จะไม่คิดฟุ่มเฟือยเป็นการฝึกการใช้สมองอย่างถูกวิธี และยิ่งใน ขณะที่ปวด ควรจะรวบรวมจิตใจปฏิบัติให้ได้
ควบคุมอารมณ์ ไม่เครียด ไม่ให้มีอารมณ์ในเชิงลบ
นอนไม่เกิน 21.00 น. อุจจาระทุกวันก่อน 7.00 น. เช้าออกกำลังกาย ตอนเช้าทุกวัน
นาวี มีบรรจง 2 มิถุนายน 2549 |